การใช้ AI ในงานทางธุรกิจ

การใช้ AI ในงานทางธุรกิจ

Use of AI in Business

การใช้ AI ในงานทางธุรกิจ
1. AI ช่วยให้การทำ Personalized Marketing แม่นยำมากขึ้น
2. สำรวจพฤติกรรมลูกค้าผ่านระบบ Facial Recognition
3. Robotics อนาคตแห่งการขนส่งสินค้า
4. AI ตัวช่วยจัดการปัญหาคลังสินค้า
5. AI กับการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้า

     ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในทุกๆด้าน ด้านธุรกิจก็เช่นกัน การมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยนั้นก็ทำให้การทำงาน การดำเนินธุรกิจนั้นขับเคลื่อนได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีที่กล่าวมากนั้น นั้นคือ AI (Artificial Intelligence) โดยการใช้ AI มีโยชน์อย่างมาก โดยวันนี้ FactoriPro จะมานำเสนอว่า การใช้AI ช่วยในงานธุรกิจได้อย่างไร

1. AI ช่วยให้การทำ Personalized Marketing แม่นยำมากขึ้น

     การทำ Personalized Marketing คือ การทำการตลาดที่ออกแบบเฉพาะบุคคล จากประสบการณ์ของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และด้วยคุณสมบัติของ AI ในการประมวลผลและคาดการณ์ข้อมูล ทำให้การทำการตลาดแบบ Personalized Marketing นั้นแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการใช้ AI ในการทำ Personalized Marketing จะเห็นได้จาก Starbucks โดย Startbucks นั้นเริ่มใช้ AI เพื่อเสนอส่วนลดให้กับสมาชิกผ่าน E-mail โดยสินค้าที่มีส่วนลดจะเป็นเมนูที่ใกล้เคียงกับเมนูที่ลูกค้าสั่งประจำ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความชอบของลูกค้า ซึ่งการส่งส่วนลดในเมนูที่ลูกค้าชอบ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าที่ Starbucks

2. สำรวจพฤติกรรมลูกค้าผ่านระบบ Facial Recognition

      Facial Recognition เป็นหนึ่งในประโยชน์ของ AI โดยระบบดังกล่าวคือ ความสามารถในด้าน Computer Vision ซึ่งสามารถจดจำใบหน้าของมนุษย์ หรือจำแนกและสำรวจตำแหน่งของสิ่งของภายในพื้นที่ได้ โดยการนำ Facial Recognition มาปรับใช้ในธุรกิจ ช่วยให้การสำรวจพฤติกรรมของลูกค้านั้นแม่นยำมากขึ้น จะเห็นได้จากกรณีศึกษาของ Walmart ที่เปลี่ยนร้านค้าธรรมดา ให้เป็นร้านค้าแห่งอนาคตด้วย AI
Walmart นำ AI เข้ามาใช้ในการจัดการร้านค้า โดยเฉพาะระบบ Facial Recognition ซึ่งระบบดังกล่าวทำงานโดยการจดจำใบหน้าลูกค้า จากนั้นจึงติดตามพฤติกรรมของลูกค้าภายในร้าน เช่น เมื่อลูกค้าหยิบขนมปังออกจากชั้นวางจนหมด ระบบจะแจ้งเตือนพนักงานให้มาเติมขนมปังบนชั้นวาง ซึ่งช่วยลดการเสียโอกาสในการขายสินค้า ในกรณีที่สินค้าหมด เป็นต้น

3. Robotics อนาคตแห่งการขนส่งสินค้า

      การใช้งาน Robotics หรือหุ่นยนต์ในธุรกิจนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคการผลิตเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันการใช้งานหุ่นยนต์มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ผ่านการป้อนคำสั่งในส่วนของ Machine Learning โดยเฉพาะในด้านขนส่งสินค้า (Delivery Robot) ซึ่งมีหลายแบรนด์เริ่มต้นใช้งานจริงแล้วอย่าง JD.Com
โดยในกรณีของ JD.Com สิ่งที่น่าสนใจคือ พวกเขาเป็นธุรกิจ E-Commerce เจ้าใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งการขนส่งสินค้าบางครั้งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากภูมิประเทศที่ไม่อำนวย ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งที่นานขึ้น ดังนั้นการใช้โดรนขนส่งสินค้าจึงเป็นทางออกของปัญหาดังกล่าว ซึ่งช่วยลดระยะเวลาจากเดิม 2 ชั่วโมงให้เหลือเพียงแค่ 20 นาที เท่านั้น

4. AI ตัวช่วยจัดการปัญหาคลังสินค้า

      ในบางธุรกิจที่มีสินค้าในคลังจำนวนมาก อาจจะไม่รู้ว่าสินค้าไหนมีประสิทธิภาพ หรือสินค้าไหนที่ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้น AI จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการปัญหาคลังสินค้า ด้วยระบบการวิเคราะห์ข้อมูล คลังสินค้า ซึ่งทาง H&M ได้นำ AI มาแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 หมื่น 2 พันล้านบาท
H&M ประสบปัญหาด้านคลังสินค้า เนื่องจากพวกเขามักมีสินค้าที่ขายไม่ออกจนทำให้ต้องนำสินค้ามาลดราคาเพื่อระบายสินค้าออก ซึ่งจากการใช้ AI วิเคราะห์จึงพบว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สินค้าขายไม่ออก คือ พวกเขามีกลยุทธ์ในการวางสินค้าที่คล้ายคลึงกัน 4,288 สาขาทั่วโลก
หลังจากทราบปัญหาดังกล่าว H&M จึงใช้ระบบ AI ในการทำ Localization ผ่านการ วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละสาขา เพื่อจัดวางสินค้าให้ตรงตามความต้องลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ร้าน H&M สาขา Stockholm พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และสินค้าที่ราคาแพงมักขายได้มากกว่าสินค้าราคาถูก ซึ่งการพบ Insignt ของลูกค้าจะช่วยลดปัญหาสินค้าไม่ตอบโจทย์ลูกค้าในที่สุด

5. AI กับการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้า

      การวิจัยและพัฒนาสินค้า (Research and Development) เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดย AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัย เพื่อนำไปพัฒนาให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในตัวอย่างการพัฒนาสินค้าด้วย AI ที่น่าสนใจมาจากแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Coca Cola
 
      Coca Cola ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า และนำข้อมูลมาพัฒนาต่อยอดเป็นสินค้าในที่สุด โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจาก AI คือ Cherry Sprite ซึ่งข้อมูลในการผลิตสินค้า ได้มาจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของวัยรุ่นในการกดน้ำดื่ม ซึ่งลูกค้ามักจะผสมรสชาติน้ำดื่มเอง โดย AI ได้นำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และคาดการณ์ส่วนผสม จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ Cherry Sprite ในที่สุด
 
      >>> จบกันไปแล้วสำหรับเนื้อหาที่เรานำเสนอวันนี้ และครั้งต่อไปเราจะนำเสนอเรื่องใด สามารถติดตามพวกเราได้หรือเยี่ยมชมและรับข่าวสารต่าง ๆ ได้ที่
Facebook : FACTORIPRO
Youtube : FACTORIPRO
Website : www.FactoriPro.com
 
 
เพิ่มเพื่อน - ติดต่อสอบถาม
 Line : @FACTORIPRO
 
ไลน์ Line FactoriPro
Visitors: 17,708