RFID และ NFC 2 ต่างกันอย่างไร
RFID และ NFC 2 เทคโนโลยีไร้สายนี้ต่างกันอย่างไร?
เทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1948 โดย Dr. Léon Theremin ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ชาวรัสเซีย แต่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงต่อมาโดยบริษัท IBM ในปี ค.ศ. 1960 และได้รับการใช้งานกันอย่างแพร่หลายในหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการจัดการสต็อกสินค้า ซึ่งใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบันเพื่อช่วยในการติดตามและจัดการสินค้าและวัตถุดิบในโรงงาน คลังสินค้า และโครงการต่างๆ อื่นๆ อีกด้วย
เทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2002 โดยบริษัทโนเกีย (Nokia) และโซนี่ (Sony) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สัมผัส โดยเฉพาะในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่นๆ โดยใช้ความถี่สูงในการสื่อสาร โดย NFC มีความสามารถในการอ่านและเขียนข้อมูลบนแท็ก (tag) หรือเครื่องรับสัญญาณ NFC ได้ ทำให้มีการนำไปใช้งานในหลายสถานการณ์ เช่น การชำระเงินแบบไร้สัมผัส การแสดงบัตรประจำตัว การเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย
RFID และ NFC เป็นทั้งคู่เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ใช้คลื่นความถี่โดยไม่ต้องมีการสัมผัสเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างกันตามลักษณะและขนาดของการใช้งาน ดังนั้นเราจะมาอธิบายโดยละเอียดดังนี้
RFID (Radio Frequency Identification) เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ใช้คลื่นความถี่โดยมีการใช้ tag หรือแท็ก เพื่อส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์อ่าน (reader) โดยแท็ก RFID จะมีขนาดเล็กและสามารถติดตั้งได้ง่ายบนวัตถุต่างๆ เช่น ในสินค้าที่เราซื้อจากร้านค้า หรือบัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น แท็ก RFID สามารถใช้งานได้ในระยะไกล โดยสามารถอ่านข้อมูลได้โดยไม่ต้องมีการสัมผัส
NFC (Near Field Communication) เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ใช้คลื่นความถี่เช่นกัน แต่มีความแตกต่างอยู่ที่ระยะทางการสื่อสารที่สั้นกว่า RFID โดย NFC จะมีระยะการสื่อสารไม่เกิน 10 เซนติเมตร ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ได้ เช่นการชำระเงินผ่านมือถือ หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟน
RFID และ NFC มีความแตกต่างกันในเรื่องของความปลอดภัยดังนี้
1. การสื่อสาร
RFID สื่อสารผ่านสัญญาณไร้สายที่ใช้ความถี่เดียวกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ความถี่เดียวกัน ซึ่งทำให้ RFID มีความเสี่ยงต่อการแอบดักรับสัญญาณจากผู้ไม่หวังดีได้ แต่ในกรณีของ NFC มีการรับรู้และควบคุมเฉพาะการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียงเท่านั้น ซึ่งทำให้ NFC มีความปลอดภัยกว่า RFID
2. การเข้ารหัสข้อมูล
ทั้ง RFID และ NFC สามารถใช้งานได้ดีกับการเข้ารหัสข้อมูล แต่บางโปรโตคอล RFID อาจไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลในการสื่อสาร ทำให้มีความเสี่ยงต่อการแอบดักรับข้อมูลได้ ส่วน NFC มีการเข้ารหัสข้อมูลอย่างมาตรฐาน เพื่อป้องกันการแอบดักรับข้อมูล
3. ระยะการสื่อสาร
RFID มีระยะการสื่อสารที่สูงถึงหลายเมตร ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อการถูกดักรับสัญญาณ ในขณะที่ NFC มีระยะการสื่อสารที่สั้น ๆ แค่ไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยกว่า RFID
4. การใช้งาน
RFID มักใช้งานในสิ่งของที่มีค่าต่ำ ๆ เช่น สินค้าในร้านค้า ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีระบบความปลอดภัยที่สูงมาก ในทางตรงข้าม NFC จะใช้ในสินค้าที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น บัตรเครดิต
การใช้งาน RFID และ NFC มีแนวโน้มที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ ดังนี้
1. การใช้งานในการจัดการสต็อกและโลจิสติกส์
RFID มีประโยชน์มากในการจัดการสต็อกและโลจิสติกส์ เพราะสามารถติดตามและจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำให้เกิดความสะดวกสบายในการจัดการสต็อกและลดการสูญเสียสินค้า
2. การใช้งานในการเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ
NFC สามารถใช้งานเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ เช่น การเปิดประตูหรือล็อกบริเวณต่างๆ โดยไม่ต้องใช้กุญแจหรือรหัสผ่าน เพราะสามารถอ่านข้อมูลจาก NFC tag ได้โดยทันทีเมื่อเข้าใกล้เครื่องรับสัญญาณ